The Divine Fury คิม จูฮวาน (Kim Joo-hwan) ผู้กำกับที่มีผลงานคุ้นหูแฟนหนังเกาหลีชาวไทยอย่าง Midnight Runners (2017) ได้กลับมาลองเปลี่ยนแนวจากหนังแอ็กชันกวน ๆ มาสู่หนังแอ๊กชันเหนือธรรมชาติที่ว่าด้วยภูติผีปีศาจกับบาทหลวงในสไตล์ The Exorcist ผสมความดาร์กโมเดิร์นเท่ ๆ แบบ Constantine และแอ็กชันซัดพลังหมัดที่ชวนให้นึกถึงบางส่วนของ Iron Fist อยู่เหมือนกัน
เรื่องของ ยงฮู (พัค ซอจุน) สุดยอดนักสู้ของโลกผู้ไร้ศรัทธาในเทพองค์ใดนอกจากตัวเอง จู่ ๆ เขากลับมีแผลเป็นที่ฝ่ามือเหมือนพระเยซู เขาจึงไปพบบาทหลวงเพื่อหวังจะรักษาแผลเป็น แต่กลายเป็นว่าตัวเขาเองที่เป็นฝ่ายช่วย บาทหลวงอัน (อัน ซึงกิ) ที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการไล่ผีแทนยงฮู เริ่มเรียนรู้พลังพิเศษที่เขาได้รับจากแผลเป็นบนฝ่ามือนี้ เพื่อช่วยคนบริสุทธิ์ที่ถูกวิญญาณร้ายเล่นงาน แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ของเขาคือ จอมมารจีชิน (อู โดฮวาน) ที่หวังครอบงำจิตใจมนุษย์ด้วยความชั่วร้ายไปตลอดกาล
โดยสรุปการนำชั้นเชิงเรื่องดราม่าที่เอกอุของหนังเกาหลี มาผสมผสานใส่แนวหนังไล่ผีของฝรั่งได้อย่างน่าสนใจ เพิ่มมิติการเล่าเรื่องได้แปลกรสที่กำลังเบื่อเลี่ยนได้พอดิบพอดี ถ้าหนังฝรั่งเราก็คงมีตัวเอกที่ไม่ศรัทธาในพระเจ้า แต่ต้องรับบททดสอบด้วยการเผชิญหน้าปีศาจที่เข้าสิงผู้บริสุทธิ์ แล้วสุดท้ายก็เกิดเชื่อมั่นศรัทธาแล้วก็เอาชนะไปได้ง่าย ๆ เป็นอันจบ เป็นแนวคุ้นเคยดีจากหนังตระกูลนี้
แต่กับหนังเกาหลีเรื่องนี้ได้สร้างบันไดแห่งการพิสูจน์ตัวละครที่ละเอียดกว่า ดูน่าเชื่อกว่า พระเอกไม่ได้อยู่ ๆ จะมาเชื่ออย่างปุ่บปั่บได้ เอาว่ากันตรง ๆ แล้วจนจบเรื่องเขาก็ยังพูดว่าเขาไม่ได้ศรัทธาในพระเจ้าอยู่ดีด้วยซ้ำ และเส้นทางการเรียนรู้ของตัวเอกก็ไม่ได้เรียบราบจนไร้สติ หากแต่เป็นการเรียนรู้ที่ค่อย ๆ มีพัฒนาการโดยคงลักษณะนิสัยที่เป็นเสน่ห์ของพระเอกที่นิ่งกวนเล็ก ๆ และเหมือนมีคำถามขัดแย้งกับศาสนาอยู่ตลอดเวลาให้คนดูชวนคิดตามด้วย และบาทหลวงเฒ่าก็เก่งในการสอนด้วยสิ หนังเลยมีโมเมนต์ดี ๆ อยู่ตลอด
👉👉 นอกจากนี้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ หนังซุปเปอร์ฮีโร่ ได้ที่นี่
Comments
Post a Comment