พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ (No Time to Die) เรื่องราวความเป็นสายลับของ 007 นอกจากนั้นยังมีการเน้นไดนามิกของฉากไล่ล่า ซึ่งมีมาตั้งแต่ต้นเรื่อง แบบไม่ทันให้ผู้ชมได้ตั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นระเบิด สปีดรถ การสาดกระสุน ไปจนถึงอุปกรณ์ไฮเทคที่ประกอบอยู่ในรถคลาสสิก
เรื่องราว เจมส์ บอนด์ (Daniel Craig) กำลังสนุกไปกับชีวิตอันเงียบสงบในจาไมก้า แต่ช่วงเวลาพักผ่อนนั้นก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เพราะ ‘เฟลิกซ์ เลเตอร์’ (Jeffrey Wright) เพื่อนเก่าจากซีไอเอ มาขอให้เขาช่วยทำงาน เป้าหมายคือช่วยชีวิตนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไป ซึ่งเหตุการณ์นี้ดูเลวร้ายกว่าที่คิดไว้ บอนด์ต้องเข้าไปเผชิญกับศัตรูลึกลับที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่สุดอันตรายเป็นอาวุธ
สำหรับ ‘No Time To Die’ ภาคนี้เล่าเรื่องถึงเจมส์ บอนด์ ที่วางมือจากการเป็นนักสืบไปแล้ว และใช้ชีวิตอยู่ที่จาไมกา พร้อมกับคนรักอย่าง ‘ดร. เมเดอลีน’ (Léa Seydoux) จากภาคที่แล้ว ‘Spectre’ (2015) ที่ในภาคนี้จะได้เห็นความสัมพันธ์ของทั้งคู่แบบชัดเจนยิ่งขึ้น แต่สายลับบอนด์กับ ดร. เมเดอลีนที่กำลังพักผ่อนอยู่ที่อิตาลีกลับอยู่สุขได้ไม่นาน เพราะ ‘เฟลิกซ์ เลเตอร์’ (Jeffrey Wright) เพื่อนเก่าจากหน่วยซีไอเอ มาขอให้เขาไปช่วยตามหานักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย ที่ถูกลักพาตัวไปพัฒนาอาวุธเชื้อโรคร้ายแรง “โปรเจกต์ เฮราคลีส” (Project Heracles) ที่ ‘ซาฟิน’ (Rami Malek) เป็นเจ้าของ ฉากแอ็กชันในภาคนี้ ต้องบอกว่าใส่มาแบบเล่นใหญ่ไฟกะพริบ และยังคงดุดัน ซาดิสม์นิด ๆ ตามสไตล์แดเนียล เครก ที่ครบเครื่องทั้งการใช้อาวุธ และศิลปะป้องกันตัว และการรวมทีมช่วยเหลือของสมาชิกหน่วย MI6 ในสไตล์หนังเจมส์ บอนด์ยุคแดเนียล เครก ที่ไม่จำเป็นต้องให้บอนด์ออกไปฉายเดี่ยวจนดูเก่งเกินมนุษย
สรุปโดยรวมก็คือ นี่คือการปิดตำนานเจมส์ บอนด์ของแดเนียล เครก เป็นการปิดตำนานทีี่ถือว่าสมบูรณ์แบบ สำหรับแฟน ๆ เจมส์ บอนด์ รับรองว่าจุใจแน่นอน ทั้งแอ็กชันสุดระทึก ดราม่าเข้มข้น และบทสรุปที่คาดไม่ถึง ทำให้ภาคนี้กลายเป็นการสั่งลาบทเจมส์ บอนด์ที่สุดแสนจะสะเทือนใจที่สุดครั้งหนึ่งในจักรวาลภาพยนตร์เจมส์ บอนด์เลยทีเดียว
👉👉 ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ ข่าววงการบันเทิง ได้ที่นี่
Comments
Post a Comment